หุ้น คือ อะไร ?

Last updated: 4 พ.ค. 2564  |  5950 จำนวนผู้เข้าชม  | 

หุ้น คือ อะไร ?

จากบทความที่แล้ว เราได้ทราบถึงข้อดีของการลงทุนในหุ้น [บทความ : 4 เหตุผล ทำไมต้องลงทุนในหุ้น] และก่อนที่เราจะไปถึงขั้นตอนการซื้อขายหุ้น ในบทความนี้เราจะมารู้จักความหมายที่แท้จริงของหุ้นกันก่อน


หุ้น คือ อะไร ?


สมมุติ นาย A มีความฝันที่จะเปิดร้านไอศกรีมที่อร่อยที่สุดในประเทศไทย วันหนึ่งเขาได้คิดค้นสูตรจนเป็นที่น่าพอใจ จึงเริ่มเปิดร้านไอศกรีมแห่งแรกในกรุงเทพมหานคร ด้วยความอร่อยและกลยุทธ์ทางการตลาดที่แตกต่าง ทำให้กิจการของนาย A เติบโตและมีลูกค้าเป็นจำนวนมาก


เมื่อสาขาแรกไม่เพียงพอสำหรับความต้องการ นาย A จึงชวนนาย B(เพื่อนสนิท) ซึ่งเก่งในด้านการบริหารจัดการมาร่วมหุ้นในสัดส่วน 50:50 หลังจากนาย B นำเงินมาลงทุนตามสัดส่วนที่กำหนด ทั้งสองช่วยกันขยายกิจการจนมีร้านไอศกรีมทั้งหมด 10 สาขา ในเวลา 3 ปี


หากร้านไอศกรีมทำกำไรรวมได้ปีละ 20 ล้านบาท นาย A และนาย B ก็จะได้ผลตอบแทนคนละ 50% หรือ 10 ล้านบาท


จากตัวอย่าง เราจะเห็นถึงการร่วมหุ้นในธุรกิจ โดยทั้งนาย A และนาย B จะมีสถานะเป็น “เจ้าของร่วม” มีสิทธิในการออกเสียงและมีสิทธิได้รับผลตอบแทนตามสัดส่วนที่ลงทุน


หุ้น ในตลาดหลักทรัพย์ คือ อะไร ?


จากตัวอย่างก่อนหน้า นาย A และ นาย B มองเห็นโอกาสในการขยายสาขาร้านไอศกรีมให้ครอบคลุมทุกหัวเมืองในประเทศไทย และต่อยอดไปเปิดในประเทศ AEC ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่และมีประชากรจำนวนมาก แต่การขยายสาขาให้ครอบคลุมต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ครั้นจะกู้ธนาคารก็มีดอกเบี้ยสูงอีกทั้งยังมีความเสี่ยงหากกิจการไม่เป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้ จึงมีไอเดียจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น เพื่อหาเพื่อนมาเป็นหุ้นส่วน ร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกัน


สมมุติร้านไอศกรีม ใช้ชื่อย่อหุ้นว่า AB โดยหุ้น AB มีจำนวนทั้งหมด 10 ล้านหุ้น นางสาว C มีความสนใจหุ้น AB มาก จึงได้ซื้อหุ้น AB ในตลาดหุ้นไปจำนวน 10,000 หุ้น หรือคิดเป็น 0.1% ของหุ้นทั้งหมด ถ้ากิจการได้กำไร 50 ล้านบาท 0.1% ของ 50 ล้านบาท ก็คือ 50,000 บาท ส่วนนี้ก็จะถือเป็นส่วนแบ่งกำไรที่นางสาว C ควรจะได้รับ แต่โดยทั่วไปบริษัทจะเก็บกำไรไว้ส่วนหนึ่งเพื่อนำไปขยายกิจการ อีกส่วนหนึ่งจะแบ่งให้ผู้ถือหุ้นซึ่งเรียกส่วนนี้ว่า เงินปันผล เช่น หุ้น AB มีนโยบายการจ่ายปันผล ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ของกำไรสุทธิ ฉะนั้นนางสาว C ก็จะได้รับเงินปันผลจากหุ้น AB ไม่น้อยกว่า 70% X 50,000 = 35,000 บาท

[จำนวนขั้นต่ำในการซื้อหุ้น คือ ครั้งละ 100 หุ้น เช่น หุ้นที่เราต้องการซื้อราคาหุ้นละ 2 บาท ฉะนั้นเราต้องใช้เงินขั้นต่ำในการซื้อ 100 X 2 = 200 บาท] 


นอกจากเงินปันผลแล้ว นางสาว C ยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนในรูปของ ส่วนต่างราคา หรือ capital gain หากกิจการมีการเติบโต หุ้น AB ก็มีโอกาสซื้อขายกันในราคาที่สูงขึ้น ถ้านางสาว C ซื้อหุ้นในราคา 100 บาท อีก 3 ปีต่อมา ราคาหุ้น AB ขยับไปที่ 150 บาท หากนางสาว C ขายหุ้น AB ออกทั้งหมด แสดงว่า นางสาง C จะได้กำไรจากส่วนต่างราคา 500,000 บาท หรือคิดเป็น 50% ของเงินต้น


แต่ในทางกลับกัน หากกิจการไม่เป็นไปตามที่คิด ราคาหุ้น AB ก็อาจจะตกมาต่ำกว่าราคาที่นางสาว C ได้มา และส่งผลให้นางสาว C ขาดทุนเมื่อขายหุ้น AB ได้เช่นกัน


ดังนั้นการเลือกซื้อหุ้น จึงเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญ ปัจจุบันมีหุ้นในตลาดราวๆ 700 บริษัท (SET + MAI, อ้างอิง : ตลาดหลักทรัพย์) ที่เปิดโอกาสให้เราร่วมเป็นเจ้าของ หากเข้าลงทุนบริษัทที่ดี มีการเติบโตสม่ำเสมอ เราก็มีโอกาสได้รับทั้งเงินปันผลและกำไรจากการขายหุ้น หากลงทุนในบริษัทที่ไม่เติบโตหรือมีผลประกอบการขาดทุน นอกจากเราจะไม่ได้รับเงินปันผลแล้ว ก็มีโอกาสที่จะสูญเสียเงินต้นด้วยเช่นกัน

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้