Last updated: 4 พ.ค. 2564 | 49815 จำนวนผู้เข้าชม |
Passive income คำฮิตติดหูของคนรุ่นใหม่ แต่เอ๊ะ! จริงๆแล้ว Passive income มีความหมายอย่างไร และแตกต่างจาก Active income อย่างไร วันนี้ Solively จะพาไปหาคำตอบกันค่ะ
Active income คือรายได้ที่เราต้องใช้ทั้งแรงและเวลา เพื่อแลกกับผลตอบแทน เมื่อใดที่เราหยุด รายได้ก็หยุด ตัวอย่างงานที่ได้รายได้แบบ Active income เช่น มนุษย์เงินเดือน, หมอ, นักร้อง, นักแสดง
Passive income คือรายได้ที่ไหลเข้ามาต่อเนื่อง โดยไม่ต้องใช้ทั้งแรง และเวลา(หรือใช้น้อยที่สุด) เช่น รายได้จากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์, เงินปันผลหุ้น, ค่าลิขสิทธ์ที่ได้รับจากการเขียนหนังสือ
พูดง่ายๆ Active Income ต้องทำงานถึงได้เงิน แต่ Passive Income ไม่ต้องทำงาน เงินก็ไหลเข้ามา ลองนึกภาพ ก็อกน้ำ 2 แบบที่มีฟังก์ชันต่างกัน
"Active Income" เปรียบเหมือน ก๊อกน้ำแบบกด ต้องออกแรงกด...น้ำจึงไหล... ถ้าอยากให้ไหลอีก...ก็ต้องกดซ้ำอีกเรื่อยๆ
"Passive Income" คือ ก๊อกน้ำแบบหมุน แค่ออกแรงหมุนครั้งแรกน้ำก็จะไหล...และไหลไม่มีวันหยุด ใช้เทียบกับรายได้ที่ลงแรงครั้งแรกครั้งเดียว(เรียกว่า สินทรัพย์)...หลังจากนั้นก็แทบไม่ต้องลงแรงแต่ยังได้เงินไม่หยุด
Active Income = คุณ ทำงานเพื่อ เงิน
ส่วน Passive Income = เงิน ทำงานเพื่อ คุณ
ถ้าเลือกได้ เราทุกคนก็คงเลือกมี passive income เลือกมีก็อกน้ำแบบหมุน ให้เราได้ใช้น้ำไปทั้งชีวิตโดยไม่ต้องออกแรงกดบ่อยๆกันใช่ไหมค่ะ แต่ลองนึกถึง ก็อกน้ำแบบหมุนที่คุณไม่เคยเปิดใช้มาหลายปี มันอาจขึ้นสนิมและแน่นเสียจนคุณยอมแพ้ และหันไปใช้แบบเดิม กดแล้วใช้ ทำแล้วหมดไป
หลายคนทำงานทั้งชีวิต เพื่อแลกกับผลตอบแทนหลังเกษียณ มี passive income จากนายจ้างให้ใช้แบบสบายๆ แต่ต้องไม่ลืมว่า เมื่อเราอายุมากขึ้น หรือเรียกสั้นๆว่า "แก่" สุขภาพของเราจะไม่เอื้อให้ทำสิ่งต่างๆได้เหมือนในปัจจุบัน ถึงแม้เรามีทั้งเงินและเวลา ก็ไม่สามารถ ออกไปทำสิ่งต่างๆแบบที่อยากทำได้ทั้งหมด ฉะนั้น passive income ยิ่งเกิดขึ้นเร็วเท่าไร เราก็ยิ่งมีอิสระในการเลือกใช้ชีวิตได้มากขึ้นเท่านั้น
ถึงแม้ passive income จะเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ แต่ในความเป็นจริง มีผู้คนจำนวนน้อยมากๆ ที่มี passive income มากเพียงพอจนสามารถเลือกใช้ชีวิตตามต้องการได้ ส่วนหนึ่งเพราะเรายังไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน เมื่อไม่รู้จุดหมาย ก็ไม่สามารถกำหนดทางเดินที่ถูกต้องได้ ดังนั้น ก่อนที่เราจะไปค้นหาวิธีมุ่งสู่อิสระภาพทางการเงิน Solively อยากให้เพื่อนๆลองตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนก่อนเริ่มเดินทาง เช่น "อยากมี passive income เดือนละ 50,000 บาท ก่อนอายุ 35 ปี" โดยจำนวนเงินที่เป็นเป้าหมายนั้น อาจคำนวณจากค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเราเอง และระยะเวลากำหนดตามความต้องการที่อยู่บนสมมติฐานความเป็นไปได้ที่จะทำได้จริง เมื่อได้เป้าหมายแล้ว เรามาดู 7 วิธีสร้าง passive income ในแบบฉบับที่ใครๆก็ทำได้ กันคะ
1. ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์(Property Fund)
เพราะการซื้ออสังหาริมทรัพย์แต่ละอย่างต้องใช้เงินก้อนใหญ่ หรือแม้เรากู้ธนาคารได้ ก็มีดอกเบี้ยที่ต้องนำจ่ายทุกเดือน ในขณะที่ค่าเช่าอาจไม่แน่นอน ไหนจะต้องหาผู้เช่าเอง ดูแลปรับปรุงห้องเช่าเอง และหากเลือกทำเลไม่ดี การปล่อยเช่าหรือแม้แต่การขายออก ก็อาจเป็นเรื่องยากที่คุณคาดไม่ถึง
หลักการพื้นฐานของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ คือการนำเงินของนักลงทุนรายย่อยหลายๆคนมารวมกัน แล้วนำเงินไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า ออฟฟิศ โรงแรม อพาร์ทเมนต์ คลังสินค้า เพื่อหวังผลตอบแทนในรูปของ "ค่าเช่า" หลังจากหักค่าใช้จ่ายก็จะนำรายได้มาแบ่งเป็นเงินปันผลให้กับผู้ลงทุน โดยนักลงทุน ไม่ต้องเหนื่อยกับการดำเนินการใดๆเลย เพราะกองทุนจะมีผู้ดูแลและจัดการให้ทุกอย่าง
ข้อดีของการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ คือ ไม่ต้องใช้เงินเยอะ, มีผู้จัดการที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทำงานแทน, กระจายความเสี่ยง, สภาพคล่องสูง ซื้อขายได้ตลอดเวลา และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเป็นเงินปันผลปีละ 7-8% หรือมากกว่า
2. เงินปันผลจากหุ้น
เมื่อเรานำเงินไปลงทุนในหุ้น บริษัทจะจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นตามนโยบายที่กำหนดไว้ โดยเราสามารถย้อนดูประวัติการจ่ายปันผลของแต่ละบริษัทได้จากเวบไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือถ้าให้แคบลงก็สามารถเลือกลงทุนใน 30 บริษัทที่อยู่ใน SETHD ซึ่งเป็นหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีอยู่ในเกณฑ์ดีและสม่ำเสมอ
ตัวอย่าง เงินปันผลของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด [INTUCH]
ในช่วง 4 ปีย้อยหลัง(2557-2560) INTUCH ให้ผลตอบแทนเฉพาะในส่วนของเงินปันผลเฉลี่ย ปีละ 7.8% ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนที่น่าพอใจเลยใช่ไหมค่ะ แต่นอกจากเงินปันผลแล้ว ตลาดหุ้นยังมีผลตอบแทนในรูปของส่วนต่างราคา หรือเรียกว่า Capital gain ซึ่งทำให้ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ หรือขาดทุนจนใจหายใจคว่ำได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อหุ้น INTUCH ในปี 2558 ในราคา 52 บาท แล้วขายหุ้นในปี 2560 ที่ราคา 56.25 บาท คุณจะได้กำไรจากส่วนต่างราคา 8.17% แต่ในทางกลับกัน หากคุณซื้อหุ้น INTUCH ที่ราคา 78.75 บาท ในปี 2557 แล้วขายออกในปี 2560 ที่ราคา 56.25 บาท คุณจะขาดทุนทันที -28.57% เห็นตัวเลขแล้วอย่าเพิ่งตกใจนะคะ เพราะยังมีอีกหลายบริษัทที่ให้ผลตอบแทนแบบก้าวกระโดดจนทำให้นักลงทุนรวยขึ้นหลายเท่าตัวในเวลาไม่กี่ปี แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร? คำตอบคือ ไม่มีใครรู้แน่นอนเกี่ยวกับผลกำไรที่บริษัทจะทำได้ในอนาคต แม้แต่ผู้บริหารเอง ก็คาดเดาผลประกอบการได้ยาก เพราะ ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งที่ควบคุมได้ และควบคุมไม่ได้
แต่หากคุณอยากได้เงินปันผล โดยไม่ต้องศึกษาหุ้นเอง ก็สามารถทำได้ โดยซื้อกองทุนหุ้นปันผล ซึ่งมีหลักการคล้ายๆกับกองทุนอสังหาริมทรัพย์ แต่ผู้จัดการกองทุนจะนำเงินจากนักลงทุนรายย่อย ไปซื้อหุ้นที่มีผลประกอบการณ์ดี และมีเงินปันผลสม่ำเสมอ ดังนั้นผู้ลงทุนในกองทุนหุ้นปันผลจึงมีโอกาสได้รับทั้งเงินปันผลและกำไรจากการขายหน่วยลงทุน
3. สร้างบล็อก เพื่อติดโฆษณา
ในปัจจุบัน มีผู้ใช้อินเทอร์เนตจำนวนมาก และมีแนวโน้มจะมากขึ้นอีกในอนาคต เมื่อก่อนเรามีคำถามเราอาจถามเพื่อนหรือคนรู้จักที่พอจะตอบได้ แต่เดี่ยวนี้ คนแรกที่เรานึกถึงคือ Google เพราะฉะนั้นหากเราทำบล็อกให้มีเนื้อหาที่น่าสนใจ จนมีผู้คนเข้ามาอ่านและติดตามเป็นจำนวนมาก เราก็สามารถหารายได้ได้ง่ายๆ จากการติดโฆษณา Google Adsens ซึ่งเกิดจากการนำโค๊ดโฆษณาของ Google มาติดในบล็อกของเรา โดยเราสามารถเลือกประเภทโฆษณาให้เหมาะกับคอนเทนต์ของเราได้ เมื่อใดที่มีคนคลิกโฆษณาดังกล่าว เราก็จะได้ส่วนแบ่งค่าตอบแทนจาก Google
และหากบล็อกของเราน่าสนใจและมีผู้เข้าชมมากยิ่งขึ้น ก็อาจมีคนมาขอเป็นสปอร์นเซอร์ และจ่ายผลตอบแทนให้เราเป็น รายเดือน หรือรายปี เพื่อแลกกับพื้นที่วางแบรนเนอร์โฆษณาในบล็อกของเรา เช่น เราทำบล็อกเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ก็สามารถหาสปอร์นเซอร์ที่เกี่ยวข้องกับการเที่ยวของเรา ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม, สายการบิน, เวบไซต์จองที่พัก, แบรนด์รองเท้า หรือเสื้อผ้า เป็นต้น
การหารายได้จากการทำบล็อก ไม่จำเป็นต้องลงทุนด้วยเงินมากเหมือนวิธีอื่นๆ เราสามารถเลือกสร้างบล็อกแบบฟรี หรือแบบเสียรายปี ซึ่งมีค่าใช้จ่ายน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่เราจะได้รับ หากบล็อกของเราเป็นบล็อกยอดนิยม และเมื่อเราเขียนบทความได้ในจำนวนมากพอ เราก็ปล่อยให้บทความเหล่านั้นทำเงินให้เราต่อไป หรืออาจจะนำรายได้ส่วนหนึ่ง จ้างฟรีแลนซ์ให้เขียนบทความเพิ่มก็ได้
4. เขียน e-book
การเขียนหนังสือเป็นอีกหนึ่งวิธีการลงทุนที่ไม่ต้องใช้เงินทุนเลย เพียงแค่คุณสละเวลาว่าง วันละ 1-2 ชั่วโมง เพื่อเขียนในสิ่งที่คุณรู้ หรือรวบรวมสิ่งที่คุณสนใจแล้วเรียบเรียงใหม่ในแบบฉบับของคุณเอง หลังจากนั้นนำสิ่งที่เขียนในแต่ละวันมารวมกัน แล้วเซฟเป็นไฟล์ PDF เท่านี้เราก็จะได้หนังสือ e-book หนึ่งเล่ม ที่พร้อมที่จะนำไปวางขายตามเว็บไซต์ที่ให้บริการ ไม่ว่าจะเป็น Ookbee, Amazon หรือจะขายเองผ่านโซเชียลต่างๆก็ได้เช่นกัน
ราคาขายปลีกหนังสือ และอีบุ๊ค อยู่ที่ประมาณ 150-350 บาท สมมุติคุณขายเล่มละ 300 บาท ผ่าน Ookbee ตลอดทั้งปีขายได้ 5,000 เล่ม รับส่วนแบ่งในฐานะนักเขียนจาก Ookbee 67.2% ฉะนั้น ในปีนั้นคุณจะมีรายได้มากถึง 1,008,000 บาทเลยทีเดียว
5. Affiliate Marketting
เป็นการขายสินค้าโดยที่เราไม่ต้องลงทุนสต๊อคสินค้า ไม่ต้องจัดส่งสินค้า และไม่ต้องให้บริการหลังการขาย เพียงแค่คุณสมัครทำ Affiliate กับเว็บไซต์ที่ให้บริการ ไม่ว่าจะเป็น Amazon หรือ Lazada หลังจากนั้นให้เราเลือกสินค้าที่เราต้องการนำไปโปรโมท แล้ว copy ลิ้งสำหรับโปรโมทสินค้า ไปวางในบล็อก หรือ Facebook ของเรา เมื่อมีคนกดลิ้งและสั่งซื้อสินค้า เราก็จะได้ค่าคอมมิชชั่นเป็นผลตอบแทน โดย %ค่าคอมฯที่ได้นั้น จะแตกต่างกันตามประเภทสินค้า เช่น ขายสินค้าแฟชั่นใน lazada คุณจะได้ค่าคอมมิชชั่นสูงถึง 12% และหากลูกค้ากดเข้าดูสินค้าและยังไม่ซื้อในทันทีก็ไม่สำคัญ เพราะระบบจะเก็บคุ้กกี้ให้คุณสูงสุดถึง 30 วัน
6. ขายสินค้าออนไลน์แบบ Drop Shipping
การขายออนไลน์แบบ Drop Shipping เป็นอีกวิธีการลงทุนที่ไม่ต้องใช้เงินทุนมาก ไม่ต้องมีสินค้า ไม่ต้องมีลูกน้องให้ปวดหัว เพียงแค่คุณสร้างเวบไซต์หรือใช้เวบไซต์สำเร็จรูปที่มีทั้งแบบฟรีและเสียค่าบริการรายปี เช่น LNWSHOP หรือ Makewebeasy หลังจากนั้นให้คุณนำภาพและรายละเอียดสินค้าจากผู้ให้บริการ Dropship มาลงในเวบไซต์ของคุณ เมื่อมีคำสั่งซื้อจากลูกค้า คุณก็สั่งซื้อกับผู้ให้บริการ Dropship พร้อมระบุให้จัดส่งในนามของร้านคุณ เพียงเท่านี้คุณก็จะได้กำไรจากส่วนต่างราคาขายที่คุณสามารถกำหนดได้อิสระกับราคาทุนในฐานะตัวแทนจำหน่าย
ข้อดีคือ ไม่ต้องลงทุน, มีสินค้าให้เลือกมากมาย, ประหยัดเวลาการทำธุรกิจเพราะมีรูปภาพรวมถึงข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ส่วนข้อเสียคือ มีคู่แข่งมาก เพราะใครๆก็เริ่มต้นธุรกิจได้ ฉะนั้นคุณต้องศึกษาการทำการตลาด และการทำ SEO เพื่อให้สินค้าของคุณเข้าถึงลูกค้าให้ได้มากที่สุด
7. ขายรูปถ่ายออนไลน์
หากคุณเป็นคนนึงที่รักการถ่ายภาพ นอกจากจะเป็นงานอดิเรกที่ทำให้คุณมีความสุขแล้ว ภาพถ่ายเหล่านั้นยังสามารถเปลี่ยนเป็นรายได้ที่งดงามอย่างที่คุณคาดไม่ถึง ขั้นตอนง่ายๆเพียงสมัครเว็บไซต์สำหรับขายรูปถ่าย เช่น Shutterstock , iStockPhoto หลังจากนั้นก็คัดเลือกรูปถ่ายเจ๋งๆของคุณและอัพโหลดในเวบไซต์ของผู้ให้บริการ เมื่อภาพใดสามารถขายได้ คุณก็จะได้รับส่วนแบ่งรายได้จากเว็บไซต์ บางทีภาพถ่ายรถตุ๊กๆของคุณ อาจเป็นภาพที่มีราคาแพงสำหรับต่างชาติก็ได้นะคะ
เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ กับ 7 วิธีสร้างรายได้ในแบบฉบับที่ใครๆก็สามารถทำได้ จริงๆแล้วยังมีวิธีสร้าง passive income ที่กำลังเป็นที่นิยมในต่างประเทศ แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติให้ทำได้ในประเทศไทย เช่น Peer-to-Peer Lending(การกู้ยืมเงินระหว่าง บุคคล ต่อ บุคคล) แต่เชื่อว่า...สุดท้ายแล้วโมเดลธุรกิจที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้มากกว่า ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเข้ามา เพียงแต่ต้องให้เวลากับธุรกิจเดิมที่อาจได้รับผลกระทบก่อนเท่านั้น
อย่าลืมติดตาม Solivelyth อัพเดตการลงทุน บันเทิง กีฬา ผู้หญิง สุขภาพ กิน-เที่ยว รีวิวต่างๆ ครบรสที่นี่ที่เดียว!