Last updated: 4 พ.ค. 2565 | 11298 จำนวนผู้เข้าชม |
ยุคสมัยเปลี่ยน สิ่งต่างๆก็เปลี่ยนไป รวมถึงการเดินทาง จากเดินทางด้วยเท้า เปลี่ยนเป็นใช้สัตว์ และพัฒนามาจนใช้ยานพาหนะในการขับเคลื่อน และหนึ่งในนั้นก็คือการใช้รถยนต์บนท้องถนน เมื่อมีการใช้รถยนต์ก็ปฏิเสธไม่ได้ที่จะเกิดอุบัติเหตุหรือถูกโจรกรรม ถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น มันคงไม่ได้เกิดในที่ที่มีคนเห็นอยู่ตลอดเวลา หรือแม้กระทั่งตัวเราอยู่ในเหตุการณ์แต่พูดไปโดยไม่มีหลักฐาน ก็ยากที่จะทำให้คนอื่นเชื่อ ดังนั้นตัวเลือก “การติดกล้องติดรถยนต์” จึงเป็นจุดที่น่าสนใจ กล้องติดรถยนต์จะคอยช่วยบันทึกเหตุการณ์ที่สำคัญแทนสายตาของเรา แต่หลายคนมักมีคำถามแล้วใครละสมควรติดตั้งกล้องติดรถยนต์? ต้องบอกตรงนี้เลยว่า ไม่ว่าจะเป็นใคร ขอเพียงแค่มีรถยนต์และเลือกฟังก์ชั่นการใช้งานให้เหมาะสมกับการใช้งาน ก็สามารถติดกล้องติดรถยนต์ได้
ดังนั้น สำหรับปี 2021 นี้ ทางทีมงาน Solivelyth จึงขออนุญาต แนะนำแนวทางในการตัดสินใจเลือกซื้อกล้องติดรถยนต์ ให้เหมาะสมและตรงตามการใช้งานของทุกคนดังนี้
1. งบประมาณ
งบประมาณอาจเป็นอีกตัวแปรสำคัญในการเลือกกล้องติดรถยนต์ เช่น หากเป็นนิติบุคคล ทางฝ่ายจัดซื้อก็อาจได้งบมาจำกัด และยังต้องสั่งซื้อสินค้าให้ได้ตามจำนวนที่ต้องการหรือถ้าเป็นบุคคลทั่วไปที่มีกำลังซื้อไม่สูงนัก ก็อาจต้องเลือกหากล้องติดรถที่ไม่เกินงบในกระเป๋า แต่ถึงจะมีงบประมาณที่จำกัด ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้กล้องที่ไม่มีคุณภาพ เพราะปัจจุบันกล้องติดรถยนต์ ของแท้ ราคาถูก และมีประสิทธิภาพนั้นมีอยู่มากมาย งบไม่มากก็อาจทำให้เราได้ใช้ฟังก์ชั่นน้อยลง แต่ถึงอย่างไรกล้องติดรถยนต์ทุกรุ่น ก็มีฟังก์ชั่นหลักคือการบันทึกวีดีโอเพื่อให้เราไว้ใช้เป็นหลักฐานเวลาเกิดเหตุได้อยู่แล้ว
2. สเปคและฟังก์ชั่น
สเปคและฟังก์ชั่นอาจมีความสำคัญไม่ต่างกับงบประมาณในหัวข้อแรก เพราะหากเราต้องการกล้องติดรถที่มีสเปคอย่างนึง แต่ดันไปซื้อกล้องติดรถที่ไม่มีคุณสมบัติตามที่ต้องการ สุดท้ายอาจต้องเสียเงินซื้อใหม่ เข้าตำรา เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย ในการเลือกซื้อกล้องติดรถยนต์ จึงควรมีเวลาในการศึกษาหาข้อมูลในส่วนนี้ให้มากที่สุด เพื่อที่จะได้กล้องที่เหมาะสมกับการใช้งานของเรานั่นเอง สเปคและฟังก์ชั่นที่ควรทราบมีดังต่อไปนี้
2.1 ความละเอียดวิดีโอ
ความละเอียดของการบันทึกวีดีโอนั้น เราต้องเลือกให้มีความคมชัดระดับหนึ่ง ซึ่งผู้เขียนขอแนะนำให้เลือกความคมชัดตั้งแต่ Full HD 1920x1080P เป็นต้นไป เพื่อจะได้ภาพหลักฐานที่คมชัดและนำมาใช้งานหลังเกิดเหตุได้ทันที เมื่อเราเลือกความคมชัดของกล้องได้แล้ว ก็อย่าลืมตรวจสอบเลนส์และชิปประมวลผลของกล้องติดรถรุ่นนั้นๆด้วย เพราะส่วนประกอบทางวิศวกรรมที่ต่างกัน ถึงแม้จะให้ค่าความละเอียดวีดีโอสูงสุดเท่ากัน แต่รายละเอียดภาพ ทั้งโทนสี แสงสว่าง และความคมของภาพ ไม่เท่ากันอย่างแน่นอน โดยชิปประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูงในปัจจุบัน เช่น Novatek และ HiSilicon ส่วนเลนส์เซนเซอร์ที่ได้รับความนิยม เช่น SONY และ OmniVision เป็นต้น
2.2 สั่งงานผ่าน WIFI สะดวกสบายกว่า
กล้องติดรถยนต์รุ่นใหม่ๆในปัจจุบันมักมีฟังก์ชั่น WIFI เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้ใช้ในการตั้งค่าสั่งงานผ่านสมาร์ทโฟน โดยไม่ต้องแหงนไปมองหน้าจอกล้องเล็กๆบนกระจก นอกจากนั้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เรายังสามารถโหลดวีดีโอหลักฐานจากกล้องติดรถยนต์ลงมาเก็บในมือถือได้ง่ายๆภายในพริบตา ไม่ต้องเสียเวลาถอดเมมในกล้องไปหาต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่อโหลดวีดีโออีกต่อไป ชนปุ๊บ โหลดปั๊บ สะดวก รวดเร็ว จะเก็บคลิปสำคัญไว้ในมือถือ ป้องกันกล้องลบไฟล์อัตโนมัติเมื่อเมมเต็มก็ได้ หรือจะโหลดลงมือถือเพื่อโพสต์แชร์ใน Facebook, YouTube หรือส่งคลิปหลักฐานให้ตำรวจ/ประกันภัยก็ทำได้ทันที
2.3 FPS ตัวช่วยที่ทำให้ภาพเคลื่อนไหวดูสมจริงและลื่นไหล
ลองนึกถึงการดูหนังสักเรื่อง ถ่ายที่ความละเอียดวีดีโอสูง ภาพคมชัด สีสันสวยงาม แต่วีดีโอดันไม่ลื่นไหล ยิ่งดูยิ่งกระตุก ติดขัดอยู่ตลอดเวลา เราคงรู้สึกไม่ชอบใจแน่ๆ กล้องติดรถยนต์ก็เช่นกัน ถ้าวีดีโอที่บันทึกได้ กระตุก ไม่สมจริง ก็อาจไม่มีประโยชน์อะไรเลย ฟังก์ชั่นที่ทำให้ภาพลื่นไหลเคลื่อนไหวสมจริงเราเรียกกันว่า Frame Rate หรือ FPS ซึ่งหมายถึงอัตราเฟรมภาพต่อวินาที เช่น 30 FPS หมายถึง ใน 1 วินาที จะมีภาพนิ่งถูกบันทึกต่อเนื่องกันทั้งหมด 30 ภาพ การถ่ายทำภาพยนต์โดยทั่วไปมักมีเฟรมเรทอยู่ที่ 30 FPS เช่นเดียวกับคลิปวีดีโอที่บันทึกได้จากกล้องติดรถยนต์ก็ควรมีเฟรมเรทขั้นต่ำที่ 30FPS เช่นกัน เพราะเมื่อไรก็ตามที่วีดีโอไม่ชัด หรือวัตถุด้านหน้า(คน/รถ)เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว เราก็สามารถนำวีดีโอ 30FPS ที่บันทึกได้มาสโลโมชัน เพื่อจับภาพส่วนที่ต้องการ และแน่นอนยิ่งกล้องติดรถบันทึกภาพได้ที่ FPS สูงมากเท่าไร วีดีโอที่ได้ก็จะยิ่งลื่นไหล และสมจริงมากขึ้นเท่านั้น
2.4 มุมมองกล้องต้องใช้งานได้จริง
มุมมองกล้องมี 2 แบบ คือมุมมองแบบกว้าง และมุมมองแบบแคบ ซึ่งแต่ละแบบจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป เช่น มุมมองกล้องแบบกว้าง ถ้ากว้างมากเกินไป รถยนต์ด้านหน้าก็จะถูกผลักให้ดูเหมือนอยู่ไกลจากสถานการณ์จริง ทำให้ตรงกลางภาพถูกบีบและไม่ชัดเจน ส่วนมุมมองกล้องแบบแคบ ถ้าแคบมากไปก็จะทำให้บันทึกภาพได้ไม่ครอบคุมด้านหน้ารถ แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาให้กล้องติดรถที่มีมุมมองแบบกว้างสามารถบันทึกภาพให้มีความคมชัดและโฟกัสด้านหน้าได้ดีขึ้นแล้ว ดังนั้นการเลือกมุมมองกล้องติดรถควรเป็นแบบมุมมองกว้าง เพื่อที่จะได้เห็นเหตุการณ์ได้ครอบคลุมด้านหน้ารถ มุมมองที่แนะนำคือ 120 – 170 องศา
2.5 รูรับแสง
รูรับแสง หรือ Lens Aperture ทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมปริมาณของแสงที่ผ่านเข้าไปในกล้อง มีหน่วยเรียกว่า F หรือ F/Stop หลักการของรูรับแสง คือ
- F น้อย รูรับแสงกว้าง แสงเข้าได้มาก ภาพสว่างมาก
- F มาก รูรับแสงแคบ แสงเข้าได้น้อย ภาพสว่างน้อย
ดังนั้น กล้องติดรถยนต์ที่ดีควรมีค่า F น้อย เพื่อเก็บภาพหลักฐานทั้งกลางวันและกลางคืนด้วยความสว่างที่มากเพียงพอ ค่ารูรับแสงกล้องติดรถยนต์ที่ดีมักอยู่ที่ F1.6 – F2.2 โดย F1.6 ก็จะให้ภาพที่สว่างชัดเจนมากกว่า F2.2 นั่นเอง
2.6 G-sensor ล็อคทุกเหตุการณ์ที่เกิดแรงสั่นสะเทือน
ระบบ G-sensor เป็นอีกระบบที่กล้องติดรถยนต์ควรมี เพราะทำหน้าที่ตรวจจับแรงสั่นสะเทือนที่เกิดกับรถและล็อคไฟล์เหตุการณ์นั้นไว้ เช่น การเบรคอย่างกระทันหัน หรือ มีบุคคลอื่นขับรถมาชนรถของเราแบบไม่ได้ตั้งตัว ฟังก์ชั่น G-sensor นี้จะบันทึกไฟล์วีดีโอในช่วงเวลาที่มีแรงสั่นสะเทือน และล็อคไฟล์แยกออกไว้ทันที ทำให้เราไม่ต้องกังวลว่าไฟล์จะหายเมื่อเมมเริ่มบันทึกวนลูปซ้ำ
นอกจากระบบ G-sensor นี้แล้วยังมีระบบที่คล้ายๆกันคือระบบ Emergency button ฟังก์ชั่นนี้จะทำหน้าที่คล้ายๆกัน เพียงแต่ระบบ Emergency button นั้นจะต้องกดปุ่ม เพื่อสั่งบันทึกไฟล์วีดีโอด้วยตัวเอง ใช้กับเหตุการณ์ที่ไม่มีแรงสั่นมาที่รถ แต่เราต้องการล็อคไฟล์ขณะนั้นแยกเก็บไว้ เช่นกรณีพบเจออุบัติเหตุของเพื่อนร่วมทางบนถนนแล้วเราอยากเก็บวีดีโอหลักฐานไว้ให้ หรือหากคู่กรณีตะโกนด่า หาเรื่อง ขับปาดหน้า เราก็กดล็อคไฟล์แบบแมนวลไว้เองได้ (เข้าดู Playback แล้วกดล็อคย้อนหลังก็ได้เช่นกัน)
2.7 แหล่งเก็บพลังงานของกล้องติดรถยนต์
กล้องติดรถยนต์จะมีแบบที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ และคาปาซิเตอร์ ซึ่งทั้ง 2 แบบจะมีความแตกต่างดังต่อไปนี้
2.8 Parking Mode โหมดบันทึกตอนจอด
ระบบ Parking Mode แบ่งเป็น Advanced Parking mode และ Normal Parking mode โดย
Advanced Parking mode คือ โหมดจอดรถที่กล้องสามารถบันทึกวีดีโอตอนจอดได้ตลอดเวลา ซึ่งจะต้องติดตั้งเดินสายชาร์จเข้ากับกล่องฟิวส์ในรถยนต์ กล้องที่มีโหมดนี้มักเป็นกล้องติดรถที่มีราคาสูง เพราะตัวกล้องต้องถูกออกแบบให้ทำงานได้เสถียร มีประสิทธิภาพ และทนความร้อนได้ในระดับที่ดีมาก จึงจะสามารถทำงานต่อเนื่องได้ตลอด 24 ชม. ทั้งเวลาขับขี่และขณะจอดได้อย่างสมบูรณ์แบบ
Normal Parking mode คือ โหมดจอดรถที่กล้องสามารถเปิดขึ้นทำงานอัตโนมัติตอนจอดเมื่อมีแรงสั่นสะเทือน (Impact parking) โดยจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ก้อนเล็กๆที่อยู่ภายในกล้อง ข้อดีคือไม่ต้องติดตั้งแบบแท็ปฟิวส์ ซึ่งจะติดตั้งยากกว่าแบบเสียบชาร์จกับช่องจุดบุหรี่ แต่ข้อเสียคือแบตเตอรี่ในกล้องติดรถมีขนาดเล็กมาก จึงทำให้กล้องไม่สามารถเปิดทำงานได้นานหากไม่มีการชาร์จไฟเข้า และเมื่อมีแรงกระแทกตอนจอด กล้องจะเปิดขึ้นบันทึกวีดีโอ แค่เพียง 10 - 60 วินาทีต่อครั้งเท่านั้น (ขึ้นอยู่กับกล้องรุ่นนั่นๆว่ากำหนดให้เปิดบันทึกกี่วินาที) และเนื่องจากภาพที่บันทึกได้เป็นเพียงภาพเหตุการณ์สั้นๆหลังชน ก็อาจทำให้เราไม่สามารถรู้เหตุการณ์ก่อนชนได้เลยว่าเป็นมาอย่างไร และที่สำคัญเมื่อใช้งานไปนานๆ แบตเตอรี่ในกล้องก็จะเริ่มเสื่อมสภาพ ทำให้กล้องไม่สามารถเปิดทำงานตอนจอดได้อีกต่อไป (จนกว่าจะเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่)
2.9 ความจุของเมมโมรี่การ์ด
ความจุเมมโมรี่การ์ดที่จะใส่ในกล้องติดรถได้นั้น ขึ้นกับสเปคเครื่องว่ารองรับการ์ดได้สูงสุดที่เท่าไร เช่นถ้ากล้องรองรับเมมโมรี่การ์ดได้สูงสุด 64GB เราจะใส่เมมขนาดมากกว่า 64GB ไม่ได้ ซึ่งถ้ากล้องติดรถมีความคมชัดสูงมากพิเศษ เช่น ชัด 2K, ชัด 4K หรือเป็นแบบกล้องหน้าหลัง วีดีโอที่บันทึกได้มาก็จะมีขนาดไฟล์ใหญ่และกินพื้นที่เมมมาก ถึงแม้กล้องติดรถจะมีระบบบันทึกวนลูป แต่หากความจุเมมที่ใช้น้อยเกินไป ก็จะทำให้เราดูย้อนหลังได้สั้นกว่าที่ต้องการ โดยปกติความละเอียดวีดีโอแบบ Full HD (ระบบบีบอัดไฟล์แบบ H.264) ถ้าเป็นกล้องหน้าอย่างเดียว เมมขนาด 32GB จะบันทึกได้นานประมาณ 4 ชม. ถ้าเราขับรถวันละ 2 ชม. แสดงว่าเราจะดูวีดีโอย้อนหลังได้ 2 วัน แต่ถ้าเป็นกล้องหน้าหลังที่ชัด Full HD ทั้งสองเลนส์ ก็จะบันทึกได้นานประมาณ 2 ชม. ถ้าขับรถวันละ 2 ชม. ก็จะดูย้อนหลังได้ 1 วัน แต่ปัจจุบันกล้องติดรถหลายๆรุ่น ได้ใช้เทคโนโลยีการจัดเก็บไฟล์แบบใหม่ที่ลดขนาดไฟล์ให้เล็กลงถึง 50% เราเรียกระบบนี้ว่า H.265 ดังนั้นสำหรับใครที่ต้องการดูย้อนหลังวีดีโอได้นานหลายชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของบริษัทที่ต้องการติดกล้องกับรถขนส่งที่ใช้รถวันละ 7-8 ชั่วโมง หรือบุคคลทั่วไปที่เดินทางไกลบ่อยและต้องการดูย้อนหลังได้ต่อเนื่องหลายวัน ก็ควรเลือกกล้องติดรถที่รองรับเมมโมรี่การ์ดได้สูงสุด 128GB และถ้ากล้องรุ่นนั้นมีระบบ H.265 ด้วย ก็จะยิ่งเก็บไฟล์วีดีโอได้มากขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว
2.10 ความน่าเชื่อถือของบริษัทที่จำหน่าย และการรับประกันสินค้า
ประมาณ 90% ของคนที่มองหากล้องติดรถยนต์ เหตุผลก็คือเพื่อความปลอดภัยของครอบครัวและตัวเราเอง ดังนั้นนอกจากเรื่องที่กล่าวไปแล้ว ความน่าเชื่อถือของบริษัทที่จำหน่ายก็จำเป็นไม่แพ้กัน เราควรเลือกซื้อกล้องจากร้านที่มีความน่าเชื่อถือเพราะตรงนี้จะทำให้เรามั่นใจได้เลยว่าเราจะได้ของแท้ มีคุณภาพ และมีประกันแน่นอน 100%
3. บททดสอบจากผู้ใช้จริง
ในส่วนของบททดสอบจากผู้ใช้นี้ จะป็นส่วนที่ทำให้เราตัดสินใจเลือกซื้อกล้องติดรถที่ต้องการได้ง่ายที่สุดและยังค่อนข้างชัดเจนมากที่สุดอีกด้วย เพราะเราจะได้เห็นภาพของจริงจากผู้ที่ใช้งานจริงไปเลยว่ากล้องเป็นอย่างไรและตรงตามที่เราต้องการหรือไม่ วิธีการค้นหารีวิวจากผู้ใช้งานจริงก็มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น YouTube, Google, Pantip รวมถึงรีวิวสินค้าในแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เช่น Shopee, Lazada, JD Central
ทางทีมงาน Solivelyth หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ และสามารถช่วยให้ทุกคนตัดสินใจเลือกซื้อกล้องติดรถยนต์ได้ตรงกับความต้องการ หรือถ้าลองค้นหากล้องติดรถยนต์บนอินเทอร์เนต แล้วพบว่า “มันมีมากมายละลานตาซะเหลือเกิน” ด้านล่างนี้คือ กล้องติดรถยนต์ รุ่นเด่น คุ้มค่า คุ้มราคา ที่ทางเราเสาะแสวงหามาให้แล้ว